แบบฝึกหัด
คำสั่ง
หลังจากนักศึกษาได้ศึกษาบทเรียนนี้แล้ว จงตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง
1. ท่านคิดว่าทำไมมนุษย์เราต้องมีกฎหมาย
หากไม่มีจะเป็นอย่างไร
ตอบ เพื่อควบคุมความประพฤติของสมาชิกในสังคมและความขัดแย้งของมนุษย์
เพื่อความสงบ ความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคม และการสร้างคนให้เป็นไปตามความต้องการของคนในประเทศ สามารถนำไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์สุขต่อเยาวชนและประเทศชาติ
กฎหมายยังเป็นเครื่องควบคุมพฤติกรรมทางสังคมพัฒนาขึ้นมาจากศีลธรรม ขนบธรรมเนียม
จารีตประเพณี ศาสนา และกฎเกณฑ์ข้อบังคับตามลำดับ
.....................................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
2. ท่านคิดว่าสังคมปัจจุบันจะอยู่ได้หรือไม่หากไม่มีกฎหมายและจะเป็นอย่างไร
ตอบ สังคมจะอยู่ไม่ได้ ถ้าหากไม่มีกฎหมาย เพราะจะทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย
มีปัญหาต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายและทำให้สังคมเกิดความวุ่นวาย
การอยู่ร่วมกันของมนุษย์ก่อให้เกิดความขัดแย้ง มีการทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกาย
ไม่มีความสงบเกิดความวุ่นวายในสังคม ไม่มีกฎกติกาในการอยู่ร่วมกัน เพื่อควบคุมความประพฤติสมาชิกในสังคมรวมทั้งเพื่อรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคม
.........................................................................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................................................................
3. ท่านมีความรู้ความเข้าเกี่ยวกับกฎหมายในประเด็นต่อไปนี้
ก. ความหมาย
ข. ลักษณะหรือองค์ประกอบของกฎหมาย
ค. ที่มาของกฎหมาย ง.
ประเภทของกฎหมาย
ตอบ ความหมาย กฎที่สถาบันหรือผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐตราขึ้น
หรือที่เกิดขึ้นจากจารีตประเพณีอันเป็นที่ยอมรับนับถือ เพื่อใช้ในการบริหารประเทศ
เพื่อใช้บังคับบุคคลให้ปฏิบัติตาม
หรือเพื่อกำหนดระเบียบแห่งความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลหรือระหว่างบุคคลกับรัฐ
ลักษณะหรือองค์ประกอบของกฎหมาย
1.
กฎหมายต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับ หมายความว่า
กฎหมายนั้นต้องอยู่ในรูปของคำสั่ง คำบัญชา
อันเป็นการแสดงออกซึ่งความประสงค์ของผู้มีอำนาจในลักษณะเป็นการบังคับ
เพื่อให้บุคคลอีกคนหนึ่งปฏิบัติหรืองดเว้นการปฏิบัติ มิใช่เป็นการประกาศชวนเชิญเฉย
ๆ เช่น ในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลได้ประกาศเชิญชวนคนไทยให้สวมหมวก
เลิกกินหมากและให้นุ่งผ้าซิ่นแทนผ้าโจงกระเบน ประกาศนี้แจ้งให้ประชาชนทราบว่ารัฐบาลนิยมให้ประชาชนปฏิบัติอย่างไร
มิได้บังคับจึงไม่เป็นกฎหมาย
2. กฎหมายต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่มาจากรัฏฐาธิปัตย์ รัฎฐาธิปัตย์คือ ผู้ที่ประชาชนส่วนมากยอมรับนับถือว่าเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน โดยที่ไม่ต้องฟังอำนาจจากผู้ใดอีก ดังนี้รัฎฐาธิปัตย์จึงไม่ต้องพิจารณาถึงที่มาหรือลักษณะการได้อำนาจว่าจะได้ อย่างไร แม้จะเป็นการปฏิวัติหรือรัฐประหารก็ตามถ้าหากคณะปฏิวัติหรือคณะรัฐประหาร เป็นรัฎฐาธิปัตย์ที่สามารถออกคำสั่ง คำบัญชาในฐานะเป็นกฎหมายของประเทศได้
3. กฎหมายต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่ใช้ได้ทั่วไป หมายความว่า กฎหมายต้องเป็นเรื่องที่เมื่อประกาศใช้แล้วจะมีผลบังคับเป็นการทั่วไป ไม่ใช่กำหนดขึ้นเพื่อประโยชน์ของบุคคลหนึ่ง หรือให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดปฏิบัติตามเท่านั้น ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีอายุ เพศ หรือฐานะอย่างไรก็ตกอยู่ภายใต้ของการใช้บังคับกฎของกฎหมายอันเดียวกัน (โดยไม่เลือกปฏิบัติ) เพราะบุคคลทุกคนมีความเสมอภาคที่จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน แม้กฎหมายบางอย่างอาจจะมีวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่บุคคล หรือวางความรับผิดชอบให้แก่คนบางหมู่เหล่า แต่ก็ยังอยู่ในความหมายที่ว่าใช้บังคับทั่วไปอยู่เหมือนกัน เพราะคนทั่ว ๆ ไปที่เข้ามาเกี่ยวข้องในกฎหมายนั้นก็ยังต้องปฏิบัติตามอยู่เสมอ
สาระสำคัญอีกประการหนึ่งคือ กฎหมายเมื่อประกาศมีผลบังคับใช้แล้วก็ใช้ได้ตลอกไป (CONTINUITY) จนกว่าจะถูกแก้ไขเพิ่มเติมหรือถูกยกเลิก หากไม่มีการยกเลิกก็มีผลบังคับใช้ได้เสมอ ดังสุภาษิตกฎหมายที่ว่า “กฎหมายนอนหลับบางคราวแต่ไม่เคยตาย” (THELAW SOMETIMESSLEEP, NEVER DIE)
4. กฎหมายบัญญัติขึ้นเพื่อให้บุคคลปฏิบัติตาม แม้การปฏิบัติบางครั้งอาจจะเกิดจากความไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติ แต่หากเป็นคำสั่ง คำบัญชาแล้ว ผู้รับคำสั่ง คำบัญชา ต้องปฏิบัติตาม หากขัดขืนไม่ปฏิบัติตามก็จะเกิดสภาพบังคับของกฎหมาย อันเป็นผลร้ายต่อผู้ฝ่าฝืนคำสั่งนั้น และเป็นที่พึงเข้าใจด้วยว่าผู้ที่อยู่ในฐานะที่จะรับคำสั่งและปฏิบัติตาม กฎหมายได้นั้นต้องเป็นบุคคลตามกฎหมาย
อย่างไรก็ดีแม้กฎหมายจะไม่ใช้บังคับแก่สัตว์ แต่ก็มีความจำเป็นที่จะต้องควบคุมมิให้สัตว์ก่อความเสียหายหรือความเดือด ร้อนรำคาญแก่มนุษย์ ดังนี้กฎหมายจึงกำหนดความรับผิดไว้กับบุคคลผู้เป็นเจ้าของที่ปล่อยปละละเลย ไม่ควบคุมดูแลสัตว์เลี้ยงของตนตามสมควร จึงมิใช่เป็นการออกคำสั่ง คำบัญชาแก่สัตว์ แต่เป็นการควบคุมโดยผ่านทางผู้เป็นเจ้าของเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 433 บัญญัติว่า “ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของ จำต้องใช้คำเสียหายทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหาย”
5. กฎหมายต้องมีสภาพบังคับ เพื่อให้กฎหมายเกิดความศักดิ์สิทธิ์ และประชาชนเคารพเชื่อฟังปฏิบัติตามกฎหมายจึงต้องมีสภาพบังคับ (SANCTION) สภาพบังคับของกฎหมายนั้นแบ่งเป็นสภาพบังคับในทางอาญาและทางแพ่ง
สภาพบังคับให้ทางอาญาโดยทั่วไปแล้ว คล้ายคลึงกัน คือ หากเป็นโทษสูงสุดจะใช้วิธีประหารชีวิต ซึ่งปางประเทศให้วิธีการนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า แขวนคอ แต่ประเทศไทยในปัจจุบันให้นำไปฉีดยาให้ตายใช้วิธีประหารด้วยวิธีอื่นไม่ได้ นอกจากนั้นก็เป็นการจำคุก เป็นการเอาตัวนักโทษควบคุมในเรือนจำ ซึ่งต่างกับกักขังเป็นการเอาตัวไปกักไว้ที่อื่นที่มิใช่เรือนจำ เช่นที่อยู่ของผู้นั้นเอง หรือสถานที่อื่นที่ผู้ต้องกักขังมีสิทธิดีกว่าผู้ต้องจำคุก สำหรับกฎหมายไทยโทษกักขังจะใช้เฉพาะผู้ซึ่งกระทำผิดครั้งแรก และความผิดนั้นมีโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน ศาลจึงจะลงโทษกักขังแทนจำคุกได้ ส่วนการปรับคือ ให้ชำระเงินตามที่กฎหมายกำหนดไว้ในคำพิพากษาต่อศาล
การริบทรัพย์สิน คือ การริบเอาทรัพย์นั้นตกเป็นของแผ่นดิน เช่น ปืนที่เตรียมไว้ยิงคน หรือเงินที่ไปปล้นเขามา นอกจากการริบแล้วอาจสั่งทำลายทรัพย์สินนั้นเสียก็ได้
สภาพบังคับในทางแพ่งก็ได้แก่ การกำหนดให้การกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายตกเป็นโมฆะ ตัวอย่างเช่น การซื้อขายที่ดินโดยมิได้ทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานตกเป็นโมฆะ การทำนิติกรรมซึ่งมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายก็ดี เป็นการพ้นวิสัยก็ดี เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนก็ดี ตกเป็นโมฆะ การให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่อีกฝ่ายหนึ่งจากการไม่ชำระหนี้ การให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ถูกละเมิดเป็นต้น
2. กฎหมายต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่มาจากรัฏฐาธิปัตย์ รัฎฐาธิปัตย์คือ ผู้ที่ประชาชนส่วนมากยอมรับนับถือว่าเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน โดยที่ไม่ต้องฟังอำนาจจากผู้ใดอีก ดังนี้รัฎฐาธิปัตย์จึงไม่ต้องพิจารณาถึงที่มาหรือลักษณะการได้อำนาจว่าจะได้ อย่างไร แม้จะเป็นการปฏิวัติหรือรัฐประหารก็ตามถ้าหากคณะปฏิวัติหรือคณะรัฐประหาร เป็นรัฎฐาธิปัตย์ที่สามารถออกคำสั่ง คำบัญชาในฐานะเป็นกฎหมายของประเทศได้
3. กฎหมายต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่ใช้ได้ทั่วไป หมายความว่า กฎหมายต้องเป็นเรื่องที่เมื่อประกาศใช้แล้วจะมีผลบังคับเป็นการทั่วไป ไม่ใช่กำหนดขึ้นเพื่อประโยชน์ของบุคคลหนึ่ง หรือให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดปฏิบัติตามเท่านั้น ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีอายุ เพศ หรือฐานะอย่างไรก็ตกอยู่ภายใต้ของการใช้บังคับกฎของกฎหมายอันเดียวกัน (โดยไม่เลือกปฏิบัติ) เพราะบุคคลทุกคนมีความเสมอภาคที่จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน แม้กฎหมายบางอย่างอาจจะมีวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่บุคคล หรือวางความรับผิดชอบให้แก่คนบางหมู่เหล่า แต่ก็ยังอยู่ในความหมายที่ว่าใช้บังคับทั่วไปอยู่เหมือนกัน เพราะคนทั่ว ๆ ไปที่เข้ามาเกี่ยวข้องในกฎหมายนั้นก็ยังต้องปฏิบัติตามอยู่เสมอ
สาระสำคัญอีกประการหนึ่งคือ กฎหมายเมื่อประกาศมีผลบังคับใช้แล้วก็ใช้ได้ตลอกไป (CONTINUITY) จนกว่าจะถูกแก้ไขเพิ่มเติมหรือถูกยกเลิก หากไม่มีการยกเลิกก็มีผลบังคับใช้ได้เสมอ ดังสุภาษิตกฎหมายที่ว่า “กฎหมายนอนหลับบางคราวแต่ไม่เคยตาย” (THELAW SOMETIMESSLEEP, NEVER DIE)
4. กฎหมายบัญญัติขึ้นเพื่อให้บุคคลปฏิบัติตาม แม้การปฏิบัติบางครั้งอาจจะเกิดจากความไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติ แต่หากเป็นคำสั่ง คำบัญชาแล้ว ผู้รับคำสั่ง คำบัญชา ต้องปฏิบัติตาม หากขัดขืนไม่ปฏิบัติตามก็จะเกิดสภาพบังคับของกฎหมาย อันเป็นผลร้ายต่อผู้ฝ่าฝืนคำสั่งนั้น และเป็นที่พึงเข้าใจด้วยว่าผู้ที่อยู่ในฐานะที่จะรับคำสั่งและปฏิบัติตาม กฎหมายได้นั้นต้องเป็นบุคคลตามกฎหมาย
อย่างไรก็ดีแม้กฎหมายจะไม่ใช้บังคับแก่สัตว์ แต่ก็มีความจำเป็นที่จะต้องควบคุมมิให้สัตว์ก่อความเสียหายหรือความเดือด ร้อนรำคาญแก่มนุษย์ ดังนี้กฎหมายจึงกำหนดความรับผิดไว้กับบุคคลผู้เป็นเจ้าของที่ปล่อยปละละเลย ไม่ควบคุมดูแลสัตว์เลี้ยงของตนตามสมควร จึงมิใช่เป็นการออกคำสั่ง คำบัญชาแก่สัตว์ แต่เป็นการควบคุมโดยผ่านทางผู้เป็นเจ้าของเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 433 บัญญัติว่า “ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของ จำต้องใช้คำเสียหายทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหาย”
5. กฎหมายต้องมีสภาพบังคับ เพื่อให้กฎหมายเกิดความศักดิ์สิทธิ์ และประชาชนเคารพเชื่อฟังปฏิบัติตามกฎหมายจึงต้องมีสภาพบังคับ (SANCTION) สภาพบังคับของกฎหมายนั้นแบ่งเป็นสภาพบังคับในทางอาญาและทางแพ่ง
สภาพบังคับให้ทางอาญาโดยทั่วไปแล้ว คล้ายคลึงกัน คือ หากเป็นโทษสูงสุดจะใช้วิธีประหารชีวิต ซึ่งปางประเทศให้วิธีการนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า แขวนคอ แต่ประเทศไทยในปัจจุบันให้นำไปฉีดยาให้ตายใช้วิธีประหารด้วยวิธีอื่นไม่ได้ นอกจากนั้นก็เป็นการจำคุก เป็นการเอาตัวนักโทษควบคุมในเรือนจำ ซึ่งต่างกับกักขังเป็นการเอาตัวไปกักไว้ที่อื่นที่มิใช่เรือนจำ เช่นที่อยู่ของผู้นั้นเอง หรือสถานที่อื่นที่ผู้ต้องกักขังมีสิทธิดีกว่าผู้ต้องจำคุก สำหรับกฎหมายไทยโทษกักขังจะใช้เฉพาะผู้ซึ่งกระทำผิดครั้งแรก และความผิดนั้นมีโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน ศาลจึงจะลงโทษกักขังแทนจำคุกได้ ส่วนการปรับคือ ให้ชำระเงินตามที่กฎหมายกำหนดไว้ในคำพิพากษาต่อศาล
การริบทรัพย์สิน คือ การริบเอาทรัพย์นั้นตกเป็นของแผ่นดิน เช่น ปืนที่เตรียมไว้ยิงคน หรือเงินที่ไปปล้นเขามา นอกจากการริบแล้วอาจสั่งทำลายทรัพย์สินนั้นเสียก็ได้
สภาพบังคับในทางแพ่งก็ได้แก่ การกำหนดให้การกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายตกเป็นโมฆะ ตัวอย่างเช่น การซื้อขายที่ดินโดยมิได้ทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานตกเป็นโมฆะ การทำนิติกรรมซึ่งมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายก็ดี เป็นการพ้นวิสัยก็ดี เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนก็ดี ตกเป็นโมฆะ การให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่อีกฝ่ายหนึ่งจากการไม่ชำระหนี้ การให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ถูกละเมิดเป็นต้น
ที่มาของกฎหมาย พอที่จะสรุปได้ 5 ลักษณะดังนี้
- บทบัญญัติแห่งกฎหมาย เป็นกฎหมายลักษณ์อักษร เช่น
กฎหมายประมวลรัษฎากร รัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา
กฎกระทรวง เทศบัญญัติ ซึงกฎหมายดังกล่าว
ผู้มีอำนาจแห่งรัฐหรือผู้ปกครองประเทศเป็นผู้ออกกฎหมาย
- จารีตประเพณี เป็นแบบอย่างที่ประชาชนนิยมปฏิบัติตามกันมานาน หากนำไปบัญญัติเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรแล้วย่อมมีสภาพไปเป็นกฎหมาย เช่น การชกมวยเป็นกีฬา หากชกตามกติกา หากคู่ชกบาดเจ็บสาหัสหรือถึงแก่ชีวิต ย่อมไม่ผิดฐานทำร้ายร่างกายหรือฐานฆ่าคนตาย อีกกรณีหนึ่งแพทย์รักษาคนไข้ ผ่าตัดขาแขน โดยความยินยอมของคนไข้ ย่อมถือว่าไม่มีความผิดเพราะเป็นจารีตประเพณีที่ปฏิบัติต่อกันมา ปฏิบัติโดยชอบตามกติกาหรือเกณฑ์หรือจรรยาบรรณที่กำหนดจึงไม่ถือว่าเป็นความผิดทางกฎหมาย
- ศาสนา เป็นข้อห้ามและข้อปฏิบัติที่ดีของทุก ๆ ศาสนาสอนให้เป็นคนดี เช่น ห้ามลักทรัพย์ ห้ามผิดลูกเมีย ห้ามทำร้ายผู้อื่น กฎหมายจึงได้บัญญัติตามหลักศาสนาและมีการลงโทษ
- คำพิพากษาของศาลหรือหลักบรรทัดฐานของคำพิพากษาซึ่งคำพิพากษาของศาลชั้นสูงเป็นแนวทางที่ศาลชั้นต้นต้องนำไปถือปฏิบัติในการตัดสินคดีหลังๆ ซึ่งแนวทางเป็นเหตุผลแห่งความคิดของตนว่าทำไมจึงตัดสินคดีเช่นนี้ อาจนำไปสู่การแก้ไขกฎหมายในแนวความคิดนี้ได้ จะต้องตรงตามหลักความจริงมากที่สุด
- ความเห็นของนักนิติศาสตร์เป็นการแสดงความคิดเห็นว่าสมควรที่จะออกกฎหมายอย่างนั้น สมควรหรือไม่ จึงทำให้นักนิติศาสตร์ อาจจะเป็นอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงในกฎหมายได้แสดงความคิดเห็นว่ากฎหมายฉบับนั้นได้ ในประเด็นที่น่าสนใจเพื่อที่จะแก้ไขกฎหมายให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนดังกล่าว เช่น กฎหมายลักษณะอาญาประกาศใช้ใหม่ ๆ บัญญัติว่า “การถืออาวุธในถนนหลวงไม่มีความผิดถ้าไม่มีกระสุน”ต่อมาพระบิดากฎหมายได้ทรงเขียนอธิบายเหตุผลว่า “การถืออาวุธในถนนหลวงควรมีข้อห้ามหรือเป็นความผิด” จึงได้แก้ไขกฎหมาย ดังกล่าว
- จารีตประเพณี เป็นแบบอย่างที่ประชาชนนิยมปฏิบัติตามกันมานาน หากนำไปบัญญัติเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรแล้วย่อมมีสภาพไปเป็นกฎหมาย เช่น การชกมวยเป็นกีฬา หากชกตามกติกา หากคู่ชกบาดเจ็บสาหัสหรือถึงแก่ชีวิต ย่อมไม่ผิดฐานทำร้ายร่างกายหรือฐานฆ่าคนตาย อีกกรณีหนึ่งแพทย์รักษาคนไข้ ผ่าตัดขาแขน โดยความยินยอมของคนไข้ ย่อมถือว่าไม่มีความผิดเพราะเป็นจารีตประเพณีที่ปฏิบัติต่อกันมา ปฏิบัติโดยชอบตามกติกาหรือเกณฑ์หรือจรรยาบรรณที่กำหนดจึงไม่ถือว่าเป็นความผิดทางกฎหมาย
- ศาสนา เป็นข้อห้ามและข้อปฏิบัติที่ดีของทุก ๆ ศาสนาสอนให้เป็นคนดี เช่น ห้ามลักทรัพย์ ห้ามผิดลูกเมีย ห้ามทำร้ายผู้อื่น กฎหมายจึงได้บัญญัติตามหลักศาสนาและมีการลงโทษ
- คำพิพากษาของศาลหรือหลักบรรทัดฐานของคำพิพากษาซึ่งคำพิพากษาของศาลชั้นสูงเป็นแนวทางที่ศาลชั้นต้นต้องนำไปถือปฏิบัติในการตัดสินคดีหลังๆ ซึ่งแนวทางเป็นเหตุผลแห่งความคิดของตนว่าทำไมจึงตัดสินคดีเช่นนี้ อาจนำไปสู่การแก้ไขกฎหมายในแนวความคิดนี้ได้ จะต้องตรงตามหลักความจริงมากที่สุด
- ความเห็นของนักนิติศาสตร์เป็นการแสดงความคิดเห็นว่าสมควรที่จะออกกฎหมายอย่างนั้น สมควรหรือไม่ จึงทำให้นักนิติศาสตร์ อาจจะเป็นอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงในกฎหมายได้แสดงความคิดเห็นว่ากฎหมายฉบับนั้นได้ ในประเด็นที่น่าสนใจเพื่อที่จะแก้ไขกฎหมายให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนดังกล่าว เช่น กฎหมายลักษณะอาญาประกาศใช้ใหม่ ๆ บัญญัติว่า “การถืออาวุธในถนนหลวงไม่มีความผิดถ้าไม่มีกระสุน”ต่อมาพระบิดากฎหมายได้ทรงเขียนอธิบายเหตุผลว่า “การถืออาวุธในถนนหลวงควรมีข้อห้ามหรือเป็นความผิด” จึงได้แก้ไขกฎหมาย ดังกล่าว
ประเภทของกฎหมาย
กฏหมายที่นำมาใช้นั้น อาจมีรูปแบบและลักษณะต่างๆ กัน
การศึกษาถึงการแบ่งประเภทของกฏหมาย
นอกจากจะทำให้มีความเข้าใจในลักษณะของกฏหมายประเภทต่างๆ มากขึ้นแล้ว
ยังก่อให้เกิดประโยชน์ในการใช้กฏหมายได้ถูกต้องแก่กรณีด้วย ซึ่งในบทนี้จะกล่าวถึงการแบ่งประเภทของกฏหมายเป็น 3 กรณีด้วยกัน คือ
1. กฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชน
2. กฏหมายสารบัญญัติและกฏหมายวิธีสบัญญัติ
3. กฏหมายประเภทอื่นๆ
ในกรณีที่ 1 และ 2 นั้นเป็นการแบ่งประเภทของกฏหมายซึ่งเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปโดยยึดถือลักษณะของความสัมพันธ์ในกฏหมาย (แบ่งได้เป็นกฏหมายเอกสานและกฏหมายมหาชน) และยึดถือลักษณะการใช้กฏหมาย (แบ่งได้เป็นกฏหมายสารบัญญัติและกฏหมายวิธีบัญญัติ) เป็นหลักในการพิจารณา ส่วนในกรณีที่ 3 นั้น เป็นการแบ่งประเภทของกฏหมายในกรณีอื่นๆ ซึ่งมีอยู่หลากหลายทั้งนี้ เพราะขึ้นอยู่กับผู้ที่ทำการแบ่งประเภทนั่นเองว่าจะยึดถือเกณฑ์ใดเป็นหลักเช่น
เกณฑ์แหล่งกำเนิด (แบ่งได้เป็นกฏหมายภายในและกฏหมายภายนอก) เกณฑ์รูปแบบ(แบ่งได้เป็นกฏหมายลายลักษณ์อักษรและกฏหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร) หรือเกณฑ์สภาพบังคับของกฏหมาย (แบ่งได้เป็นกฏหมายอาญาและกฏหมายแพ่ง) ซึ่งในกรณีที่ 3 นี้ เป็นการแบ่งแยกประเภทของกฏหมายเพื่อใช้เฉพาะกรณีๆ ไป
2. กฏหมายสารบัญญัติและกฏหมายวิธีสบัญญัติ
3. กฏหมายประเภทอื่นๆ
ในกรณีที่ 1 และ 2 นั้นเป็นการแบ่งประเภทของกฏหมายซึ่งเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปโดยยึดถือลักษณะของความสัมพันธ์ในกฏหมาย (แบ่งได้เป็นกฏหมายเอกสานและกฏหมายมหาชน) และยึดถือลักษณะการใช้กฏหมาย (แบ่งได้เป็นกฏหมายสารบัญญัติและกฏหมายวิธีบัญญัติ) เป็นหลักในการพิจารณา ส่วนในกรณีที่ 3 นั้น เป็นการแบ่งประเภทของกฏหมายในกรณีอื่นๆ ซึ่งมีอยู่หลากหลายทั้งนี้ เพราะขึ้นอยู่กับผู้ที่ทำการแบ่งประเภทนั่นเองว่าจะยึดถือเกณฑ์ใดเป็นหลักเช่น
เกณฑ์แหล่งกำเนิด (แบ่งได้เป็นกฏหมายภายในและกฏหมายภายนอก) เกณฑ์รูปแบบ(แบ่งได้เป็นกฏหมายลายลักษณ์อักษรและกฏหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร) หรือเกณฑ์สภาพบังคับของกฏหมาย (แบ่งได้เป็นกฏหมายอาญาและกฏหมายแพ่ง) ซึ่งในกรณีที่ 3 นี้ เป็นการแบ่งแยกประเภทของกฏหมายเพื่อใช้เฉพาะกรณีๆ ไป
1. กฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชน
การแบ่งกฏหมายออกเป็นกฏหมายเอกชนกับกฏหมายมหาชน เป็นการแบ่งโดยยึดถือลักษณะของความสัมพันธ์เป็นเกณฑ์
กล่าวคือ ความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับด้วยกันเองเป็นเรื่องของกฏหมายเอกชน
ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับเอกชน เป็นกฏหมายมหาชน แต่อย่างไรก็ตาม
การแยกเป็นกฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชน มีเกณฑ์ที่ใช้แบ่งแยก ดังนี้
1.1 เกณฑ์การแบ่งแยกปรเภทกฏหมายเอกชนหรือมหาชน ในการแบ่งประเภทของกฏหมายว่าเป็นกฏหมายเอกชนหรือมหาชนนั้น มีหลักเกณฑ์ที่ใช้ พิจารณาจะต้องคำนึงทั้ง 4 หลักเกณฑ์นี้ควบคู่กันไป ไม่อาจที่จะแยกคำนึงถึงหลักเกณฑ์ใดเพียงหลักเกณฑ์ได้ ดังต่อไปนี้
(1) เกณฑ์องค์กร คือ ยึดถือตัวบุคคลผู้ก่อนิติสัมพันธ์เป็นเกณฑ์
กฏหมายมหาชน ใช้บังคับกับนิติสัมพันธ์ที่ก่อขึ้นระหว่างรัฐหรือหน่วยงานของรัฐกับเอกชนหรือหระว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกันเอง
กฏหมายเอกชน ใช้บังคับกับนิติสัมพันธ์ที่ก่อขึ้นระหว่างเอกชนด้วยกันเท่านั้น
ดังนี้ จะเห็นได้ว่ากฏหมายมหาชนนั้นกำหนดความสัมพันธ์ที่ฝ่ายหนึ่งเป็นรัฐ (ผู้ปกครอง)ซึ่งมีอำนาจเหนือกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง (ผู้อยู่ใต้ปกครอง) คือเป็นนิติสัมพันธ์ที่ผู้ก่อมีสถานะไม่เท่าเทียมกันหรือเป็นนิติสัมพันธ์ที่เกี่ยวกับเรื่องการใช้อำนาจปกครองซึ่งทำขึ้นระหว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกันเองส่วนกฏหมายมหาชนนั้น เป็นเรื่องของผู้ก่อนิติสัมพันธ์ที่มีสถานะเหมือนกันและเท่าเทียมกัน
กฏหมายมหาชน ใช้บังคับกับนิติสัมพันธ์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์สาธารณะ
กฏหมายเอกชน ใช้กับนิติสัมพันธ์ที่ต้องอาศัยความสมัครใจของผู้ก่อนิติสัมพันธ์ทั้ง 2 ฝ่าย เนื่องจากยึดถือหลักความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน เพราะเป็นการทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวจึงต้องให้มีการทำสัญญากันอย่างเสรี หากฝ่ายใดฝ่าฝืน ต้องนำคดีขึ้นสู่ศาล เพราะต่างฝ่ายต่างเสมอภาค กันต้องให้ศาลทำหน้าที่เป็นคนกลางเข้ามาตัดสินเกณฑ์เนื้อหา
กฏหมายมหาชน เป็นกฏเกณฑ์ที่มีลักษณะทั่ว ไม่ระบุตัวบุคคล (กฏหมายตามภาวะวิสัย) คือ เป็นกฏเกณฑ์ที่ใช้ได้ทั่วไปกับบุคคลใดก็ได้ไม่เฉพาะเจาะจง และจะตกลงยกเว้นไม่ปฏิบัติตามไม่ได้ ถือว่าเป็นกฏหมายบังคับ
กฏหมายเอกชน ไม่ใช่กฏหมายบังคับ เอกชนสามารถตกลงผูกพันกันเป็นอย่างอื่น นอกจากที่กฏหมายเอกชนบัญญัติไว้ได้ (แต่ต้องไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน) ถ้าหากเอกชนไม่ตกลงให้แตกต่างออกไป ก็จะบังคับกันตามที่กฏหมายเอกชนบัญญัติไว้ (เท่ากับว่ากฏหมายเอกชนเป็นกฏหมายเสริมนั่นเอง) ดังนี้ เมื่อเอกชนยอมใช้กฏหมายเอกชนระหว่างกัน ทำให้กฏหมายเอกชนมีลักษณะเป็นกฏเกณฑ์เฉพาะเรื่องที่สร้างขึ้นเพื่อใช้กับบุคคลเฉพาะรายเท่านั้น (เป็นกฏหมายตามอัตวิสัย) เช่น ประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นต้น
(3) เกณฑ์วิธีการ วิธีการที่ใช้ในการก่อนิติสัมพันธ์ของ 2 กรณีนี้ จะแตกต่างกัน โดยสิ้นเชิงกล่าวคือ
กฏหมายมหาชน ใช้ตัวสำหรับนิติสัมพันธ์ที่ไม่ต้องอาศัยความสมัครใจของคู่สัญญาอีกอีกฝ่ายหนึ่ง (เอกชน) เลย รัฐสามารถออกคำสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตได้ และถ้ามีการฝ่าฝืน รัฐสามารถบังคับให้เอกชนปฏิบัติตามได้ทันทีโดยไม่ต้องไปฟ้องศาล ทั้งนี้ เพราะเป็นการทำเพื่อประโยชน์สาธารณะในฐานะผู้ปกครอง เช่น ตำรวจจราจรให้สัญญาณอยุดรถ ถ้ารถไม่อยุดเพราะไม่สมัครใจ จะหยุด ตำรวจจราจรสามารถปรับคนขับรถได้(Public interest) คือ เพื่อสนองความต้องการของประชาชนส่วนรวมนั่นเอง เช่น สัญญาสัมปทานที่รัฐทำกับเอกชนเพื่อจัดทำสาธารณูปโภคต่างๆ
กฏหมายเอกชน ใช้บังคับกับนิติสัมพันธ์ที่มุ่งถึงผลประโยชน์ของตน ไม่ว่าจะทรัพย์สินเงิน ชื่อเสียง เกียรติยศของบุคคลนั้นๆ เองเป็นหลัก
(2) เกณฑ์วัตถุประสงค์ คือ ยึดถือจุดประสงค์ของนิติสัมพันธ์ที่ผู้ก่อนิติสัมพันธ์ทั้ง 2 ฝ่ายทำขึ้นเป็นเกณฑ์
1.1 เกณฑ์การแบ่งแยกปรเภทกฏหมายเอกชนหรือมหาชน ในการแบ่งประเภทของกฏหมายว่าเป็นกฏหมายเอกชนหรือมหาชนนั้น มีหลักเกณฑ์ที่ใช้ พิจารณาจะต้องคำนึงทั้ง 4 หลักเกณฑ์นี้ควบคู่กันไป ไม่อาจที่จะแยกคำนึงถึงหลักเกณฑ์ใดเพียงหลักเกณฑ์ได้ ดังต่อไปนี้
(1) เกณฑ์องค์กร คือ ยึดถือตัวบุคคลผู้ก่อนิติสัมพันธ์เป็นเกณฑ์
กฏหมายมหาชน ใช้บังคับกับนิติสัมพันธ์ที่ก่อขึ้นระหว่างรัฐหรือหน่วยงานของรัฐกับเอกชนหรือหระว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกันเอง
กฏหมายเอกชน ใช้บังคับกับนิติสัมพันธ์ที่ก่อขึ้นระหว่างเอกชนด้วยกันเท่านั้น
ดังนี้ จะเห็นได้ว่ากฏหมายมหาชนนั้นกำหนดความสัมพันธ์ที่ฝ่ายหนึ่งเป็นรัฐ (ผู้ปกครอง)ซึ่งมีอำนาจเหนือกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง (ผู้อยู่ใต้ปกครอง) คือเป็นนิติสัมพันธ์ที่ผู้ก่อมีสถานะไม่เท่าเทียมกันหรือเป็นนิติสัมพันธ์ที่เกี่ยวกับเรื่องการใช้อำนาจปกครองซึ่งทำขึ้นระหว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกันเองส่วนกฏหมายมหาชนนั้น เป็นเรื่องของผู้ก่อนิติสัมพันธ์ที่มีสถานะเหมือนกันและเท่าเทียมกัน
กฏหมายมหาชน ใช้บังคับกับนิติสัมพันธ์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์สาธารณะ
กฏหมายเอกชน ใช้กับนิติสัมพันธ์ที่ต้องอาศัยความสมัครใจของผู้ก่อนิติสัมพันธ์ทั้ง 2 ฝ่าย เนื่องจากยึดถือหลักความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน เพราะเป็นการทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวจึงต้องให้มีการทำสัญญากันอย่างเสรี หากฝ่ายใดฝ่าฝืน ต้องนำคดีขึ้นสู่ศาล เพราะต่างฝ่ายต่างเสมอภาค กันต้องให้ศาลทำหน้าที่เป็นคนกลางเข้ามาตัดสินเกณฑ์เนื้อหา
กฏหมายมหาชน เป็นกฏเกณฑ์ที่มีลักษณะทั่ว ไม่ระบุตัวบุคคล (กฏหมายตามภาวะวิสัย) คือ เป็นกฏเกณฑ์ที่ใช้ได้ทั่วไปกับบุคคลใดก็ได้ไม่เฉพาะเจาะจง และจะตกลงยกเว้นไม่ปฏิบัติตามไม่ได้ ถือว่าเป็นกฏหมายบังคับ
กฏหมายเอกชน ไม่ใช่กฏหมายบังคับ เอกชนสามารถตกลงผูกพันกันเป็นอย่างอื่น นอกจากที่กฏหมายเอกชนบัญญัติไว้ได้ (แต่ต้องไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน) ถ้าหากเอกชนไม่ตกลงให้แตกต่างออกไป ก็จะบังคับกันตามที่กฏหมายเอกชนบัญญัติไว้ (เท่ากับว่ากฏหมายเอกชนเป็นกฏหมายเสริมนั่นเอง) ดังนี้ เมื่อเอกชนยอมใช้กฏหมายเอกชนระหว่างกัน ทำให้กฏหมายเอกชนมีลักษณะเป็นกฏเกณฑ์เฉพาะเรื่องที่สร้างขึ้นเพื่อใช้กับบุคคลเฉพาะรายเท่านั้น (เป็นกฏหมายตามอัตวิสัย) เช่น ประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นต้น
(3) เกณฑ์วิธีการ วิธีการที่ใช้ในการก่อนิติสัมพันธ์ของ 2 กรณีนี้ จะแตกต่างกัน โดยสิ้นเชิงกล่าวคือ
กฏหมายมหาชน ใช้ตัวสำหรับนิติสัมพันธ์ที่ไม่ต้องอาศัยความสมัครใจของคู่สัญญาอีกอีกฝ่ายหนึ่ง (เอกชน) เลย รัฐสามารถออกคำสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตได้ และถ้ามีการฝ่าฝืน รัฐสามารถบังคับให้เอกชนปฏิบัติตามได้ทันทีโดยไม่ต้องไปฟ้องศาล ทั้งนี้ เพราะเป็นการทำเพื่อประโยชน์สาธารณะในฐานะผู้ปกครอง เช่น ตำรวจจราจรให้สัญญาณอยุดรถ ถ้ารถไม่อยุดเพราะไม่สมัครใจ จะหยุด ตำรวจจราจรสามารถปรับคนขับรถได้(Public interest) คือ เพื่อสนองความต้องการของประชาชนส่วนรวมนั่นเอง เช่น สัญญาสัมปทานที่รัฐทำกับเอกชนเพื่อจัดทำสาธารณูปโภคต่างๆ
กฏหมายเอกชน ใช้บังคับกับนิติสัมพันธ์ที่มุ่งถึงผลประโยชน์ของตน ไม่ว่าจะทรัพย์สินเงิน ชื่อเสียง เกียรติยศของบุคคลนั้นๆ เองเป็นหลัก
(2) เกณฑ์วัตถุประสงค์ คือ ยึดถือจุดประสงค์ของนิติสัมพันธ์ที่ผู้ก่อนิติสัมพันธ์ทั้ง 2 ฝ่ายทำขึ้นเป็นเกณฑ์
1.2
ความหมายของกฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชน
จากการศึกษาลักษณะของกฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชนดังกล่าวข้างต้น จึงสรุปได้ว่า
กฏหมายเอกชน คือ กฏหมายที่กำหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ระหว่างเอกชนต่อกันในฐานะ "ผู้อยู่ใต้ปกครอง" ที่ต่างฝ่ายต่างก็เท่าเทียมกัน [2]
กฏหมายมหาชน คือ กฏหมายที่กำหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ระหว่างรัฐหรือหน่วยงานของรัฐกับเอกชน หรือหน่วยงานของรัฐด้วยกัน ในฐานะที่รัฐหรือหน่วยงานของรัฐเป็น "ผู้ปกครอง" [3]
จากการศึกษาลักษณะของกฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชนดังกล่าวข้างต้น จึงสรุปได้ว่า
กฏหมายเอกชน คือ กฏหมายที่กำหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ระหว่างเอกชนต่อกันในฐานะ "ผู้อยู่ใต้ปกครอง" ที่ต่างฝ่ายต่างก็เท่าเทียมกัน [2]
กฏหมายมหาชน คือ กฏหมายที่กำหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ระหว่างรัฐหรือหน่วยงานของรัฐกับเอกชน หรือหน่วยงานของรัฐด้วยกัน ในฐานะที่รัฐหรือหน่วยงานของรัฐเป็น "ผู้ปกครอง" [3]
1.3 ข้อจำกัดของการแย่งแยกประเภทกฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชน
โดยหลักแล้วในการพิจารณาว่าเรื่องใดเป็นกฏหมายเอกชน เรื่องใดเป็นกฏหมายมหาชน จะคำนึงถึงเกณฑ์ทั้ง 4 ข้อดังกล่าวประกอบไปด้วยกัน แต่ก็ไม่อาจยึดถือเกณฑ์ทั้ง 4 ข้อนี้ได้ในทุกกรณี กล่าวคือ ในความเป็นจริงอาจมีกรณีที่รัฐหรือหน่วยงานของรัฐ ไม่ได้ดำเนินการเพื่อประโยชน์ส่วนตน ซึ่งทำให้เกิดข้อยกเว้นในการยึดถือเกณฑ์ทั้ง 4 ข้อดังกล่าวในการพิจารณา กล่าวคือ
1.3.1 ในแง่ของรัฐ
ในแง่ของรัฐ อาจไม่นำกฏหมายมหาชนมาใช้ในการดำเนินการของรัฐได้ในสองกรณี คือ
กรณีแรก รัฐหรือหน่วยงานของรัฐนั้นเลือกที่จะไม่ใช้กฏหมายมหาชน แต่เลือกสิ่งที่จะใช้กฏหมายเอกชนแทน ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการที่รัฐได้สละสิทธิในฐานะผู้ครองยอมลดตัวลงมาเท่ากับเอกชน ดังตัวอย่างเช่น เมื่อรัฐต้องการที่ดินไปสร้างโรงไฟฟ้า แทนที่รัฐจะใช้อำนาจในฐานะผู้ปกครองเวนคืนที่ดินของเอกชน รัฐกลับเลือกใช้การทำสัญญาซื้อที่ดินนั้นภายใต้กฏหมายเอกชนแทน แต่ในการเลือกใช้กฏหมายของรัฐนี้ จะต้องเป็นกรณีที่ไม่มีกฏหมายห้ามไว้ด้วย
กรณีที่สอง ในกรณีที่รัฐทำกิจกรรมที่มีลักษณะเหมือนกับกิจกรรมของเอกชน คือ รัฐทำการผลิตและจำหน่ายสินค้าหรือบริการเช่นเดียวกับเอกชน เช่น โรงงานยาสูบผลิตบุหรี่ขายแข่งกับเอกชน หรือองค์กรเภสัชกรรมผลิตอาหารขายแข่งกับเอกชน เป็นต้น กรณีนี้จึงจะต้องใช้กฏหมายเอกชนบังคับกับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐซึ่งเป็นผู้ผลิตหรือใช้บริการกับเอกชนผู้ใช้บริการเพื่อความเป็นธรรมแก่เอกชน
1.3.2 ในแง่ของเอกชน
ในแง่ของเอกชน ในปัจจุบันเอกชนและรัฐหันมาร่วมมือกันมากขึ้น มีหลายกรณีที่เอกชนเข้ามาทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์สาธารณะ จึงมีกฏหมายให้อำนาจและสิทธิพิเศษแก่เอกชนในการทำกิจกรรมเพื่อประโยชน์สาธารณะบางอย่างได้ เช่นองค์กรวิชาชีพต่างๆ ซึ่งเป็นเอกชน
โดยหลักแล้วในการพิจารณาว่าเรื่องใดเป็นกฏหมายเอกชน เรื่องใดเป็นกฏหมายมหาชน จะคำนึงถึงเกณฑ์ทั้ง 4 ข้อดังกล่าวประกอบไปด้วยกัน แต่ก็ไม่อาจยึดถือเกณฑ์ทั้ง 4 ข้อนี้ได้ในทุกกรณี กล่าวคือ ในความเป็นจริงอาจมีกรณีที่รัฐหรือหน่วยงานของรัฐ ไม่ได้ดำเนินการเพื่อประโยชน์ส่วนตน ซึ่งทำให้เกิดข้อยกเว้นในการยึดถือเกณฑ์ทั้ง 4 ข้อดังกล่าวในการพิจารณา กล่าวคือ
1.3.1 ในแง่ของรัฐ
ในแง่ของรัฐ อาจไม่นำกฏหมายมหาชนมาใช้ในการดำเนินการของรัฐได้ในสองกรณี คือ
กรณีแรก รัฐหรือหน่วยงานของรัฐนั้นเลือกที่จะไม่ใช้กฏหมายมหาชน แต่เลือกสิ่งที่จะใช้กฏหมายเอกชนแทน ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการที่รัฐได้สละสิทธิในฐานะผู้ครองยอมลดตัวลงมาเท่ากับเอกชน ดังตัวอย่างเช่น เมื่อรัฐต้องการที่ดินไปสร้างโรงไฟฟ้า แทนที่รัฐจะใช้อำนาจในฐานะผู้ปกครองเวนคืนที่ดินของเอกชน รัฐกลับเลือกใช้การทำสัญญาซื้อที่ดินนั้นภายใต้กฏหมายเอกชนแทน แต่ในการเลือกใช้กฏหมายของรัฐนี้ จะต้องเป็นกรณีที่ไม่มีกฏหมายห้ามไว้ด้วย
กรณีที่สอง ในกรณีที่รัฐทำกิจกรรมที่มีลักษณะเหมือนกับกิจกรรมของเอกชน คือ รัฐทำการผลิตและจำหน่ายสินค้าหรือบริการเช่นเดียวกับเอกชน เช่น โรงงานยาสูบผลิตบุหรี่ขายแข่งกับเอกชน หรือองค์กรเภสัชกรรมผลิตอาหารขายแข่งกับเอกชน เป็นต้น กรณีนี้จึงจะต้องใช้กฏหมายเอกชนบังคับกับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐซึ่งเป็นผู้ผลิตหรือใช้บริการกับเอกชนผู้ใช้บริการเพื่อความเป็นธรรมแก่เอกชน
1.3.2 ในแง่ของเอกชน
ในแง่ของเอกชน ในปัจจุบันเอกชนและรัฐหันมาร่วมมือกันมากขึ้น มีหลายกรณีที่เอกชนเข้ามาทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์สาธารณะ จึงมีกฏหมายให้อำนาจและสิทธิพิเศษแก่เอกชนในการทำกิจกรรมเพื่อประโยชน์สาธารณะบางอย่างได้ เช่นองค์กรวิชาชีพต่างๆ ซึ่งเป็นเอกชน
1.4 ประโยชน์ของการแบ่งประเภทกฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชน
การแบ่งแยกกฏหมายออกเป็นกฏหมายเอกชนกับกฏหมายมหาชน ก็เพื่อประโยชน์ดังต่อไปนี้ [4]
(1) ประโยชน์ในการนำคดีขึ้นสู่ศาล
ถ้าเป็นคดีในกฏหมายเอกชน เช่น คดีแพ่ง คดีอาญา องค์กรที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา คือ ศาลยุติธรรม ส่วนคดีในกฏมหาชนคือ ศาลยุติธรรม ส่วนคดีในกฏหมายมหาชนจะขึ้นต่อศาลที่มีความเชี่ยวชาญในด้านกฏหมาย
(3) ประโยชน์ในแง่กระบวนพิจารณา
กฏหมายเอกชนจะมีหลักเกณฑ์ในการดำเนินกระบวนพิจารณาและสืบพยานหลักฐานอย่างหนึ่ง ตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญาส่วนกฏหมายมหาชน ก็จะมีหลักเกณฑ์ในการดำเนินการกระบวนพิจารณาที่ต่างออกไป
1.5 การแยกสาขาย่อยในกฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชน
เมื่อได้ทราบถึงความหมาย ลักษณะ ตลอดจนหลักเกณฑ์ของกฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชนแล้ว ต่อมาเราจะศึกษาถึงการแยกสาขาย่อยว่า ทั้งในกฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชนนั้นแยกย่อยออกเป็นกฏหมายใดอีกบ้าง
1.5.1 การแยกสาขาย่อยในกฏหมายเอกชน
กฏหมายเอกชนเป็นกฏหมายที่กำหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ระหว่างเอกชนในฐานะที่เท่าเทียมกัน สาขาย่อยของกฏหมายเอกชนจึงแยกได้ ดังนี้
(1) กฏหมายแพ่ง (Civill Law)
กฏหมายแพ่ง คือ กฏหมายที่กำหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ของบุคคลในฐานะเอกชนทั่วไป ซึ่งประกอบไปด้วยเรื่องสถานะของบุคคล (คือ บุคคล ครอบครัว) เรื่องทรัพย์สิน(คือ ทรัพย์ มรดก) และเรื่องหนี้ (คือ บ่อเกิดแห่งหนี้และผลแห่งนี้)
(2) กฏหมายพาณิชย์ (Commercial Law)
กฏหมายพาณิชย์ คือ กฏหมายที่ใช้บังคับกับความสัมพันธ์ระหว่างเอกชน ในฐานะที่เป็นผู้ผลิตและผู้จำหน่ายสินค้าเป็นปกติธุระ และครอบคลุมตั้งแต่การตั้งองค์กรทางธุรกิจ (ห้างหุ้นส่วน บริษัท) การจัดหาทุน การทำนิติกรรมทางพาณิชย์
1.5.2 การแยกสาขาย่อยในกฏหมายมหาชน
เมื่อกฏหมายมหาชนกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับเอกชน จึงสามารถแยกประเภทของกฏหมายมหาชนได้ ดังนี้
(1) กฏหมายรัฐธรรมนูญ
(2) กฏหมายปกครอง
(3) กฏหมายการคลังและการภาษีอากร
(6) กฏหมายอาญา
กฏหมายอาญา คือ กฏหมายที่กำหนดความผิดทางอาญาพื้นฐานที่สังคมเห็นว่าเป็นการกระทำที่ต้องลงโทษ
ข้อสังเกตุ แม้กฏหมายอาญาจะเป็นกฏหมายที่มีรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแต่ก็ไม่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกฏหมามหาชน
(5) กฏหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
กฏหมายวิธีจารณาความแพ่ง คือ กฏหมายที่กำหนดเขตอำนาจศาลและการดำเนิน
(4) กฏหมายสังคม
กฏหมายสังคมจะประกอบไปด้วย กฏหมายแรงงานและกฏหมายประกันสังคม
(3) กฏหมายการเกษตร
กฏหมายการเกษตร คือ กฏหมายที่ว่าด้วยกิจกรรมทางการเกษตรเป็นส่วนใหญ่
(2) ประโยชน์ในแง่เนื้อหาของกฏหมาย
กฏหมายเอกชนและกฏหมายของมหาชน จะมีหลักของเนื้อหากฏหมายต่างกันออกไป เพราะตั้งอยู่บนวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน
การแบ่งแยกกฏหมายออกเป็นกฏหมายเอกชนกับกฏหมายมหาชน ก็เพื่อประโยชน์ดังต่อไปนี้ [4]
(1) ประโยชน์ในการนำคดีขึ้นสู่ศาล
ถ้าเป็นคดีในกฏหมายเอกชน เช่น คดีแพ่ง คดีอาญา องค์กรที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา คือ ศาลยุติธรรม ส่วนคดีในกฏมหาชนคือ ศาลยุติธรรม ส่วนคดีในกฏหมายมหาชนจะขึ้นต่อศาลที่มีความเชี่ยวชาญในด้านกฏหมาย
(3) ประโยชน์ในแง่กระบวนพิจารณา
กฏหมายเอกชนจะมีหลักเกณฑ์ในการดำเนินกระบวนพิจารณาและสืบพยานหลักฐานอย่างหนึ่ง ตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญาส่วนกฏหมายมหาชน ก็จะมีหลักเกณฑ์ในการดำเนินการกระบวนพิจารณาที่ต่างออกไป
1.5 การแยกสาขาย่อยในกฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชน
เมื่อได้ทราบถึงความหมาย ลักษณะ ตลอดจนหลักเกณฑ์ของกฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชนแล้ว ต่อมาเราจะศึกษาถึงการแยกสาขาย่อยว่า ทั้งในกฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชนนั้นแยกย่อยออกเป็นกฏหมายใดอีกบ้าง
1.5.1 การแยกสาขาย่อยในกฏหมายเอกชน
กฏหมายเอกชนเป็นกฏหมายที่กำหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ระหว่างเอกชนในฐานะที่เท่าเทียมกัน สาขาย่อยของกฏหมายเอกชนจึงแยกได้ ดังนี้
(1) กฏหมายแพ่ง (Civill Law)
กฏหมายแพ่ง คือ กฏหมายที่กำหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ของบุคคลในฐานะเอกชนทั่วไป ซึ่งประกอบไปด้วยเรื่องสถานะของบุคคล (คือ บุคคล ครอบครัว) เรื่องทรัพย์สิน(คือ ทรัพย์ มรดก) และเรื่องหนี้ (คือ บ่อเกิดแห่งหนี้และผลแห่งนี้)
(2) กฏหมายพาณิชย์ (Commercial Law)
กฏหมายพาณิชย์ คือ กฏหมายที่ใช้บังคับกับความสัมพันธ์ระหว่างเอกชน ในฐานะที่เป็นผู้ผลิตและผู้จำหน่ายสินค้าเป็นปกติธุระ และครอบคลุมตั้งแต่การตั้งองค์กรทางธุรกิจ (ห้างหุ้นส่วน บริษัท) การจัดหาทุน การทำนิติกรรมทางพาณิชย์
1.5.2 การแยกสาขาย่อยในกฏหมายมหาชน
เมื่อกฏหมายมหาชนกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับเอกชน จึงสามารถแยกประเภทของกฏหมายมหาชนได้ ดังนี้
(1) กฏหมายรัฐธรรมนูญ
(2) กฏหมายปกครอง
(3) กฏหมายการคลังและการภาษีอากร
(6) กฏหมายอาญา
กฏหมายอาญา คือ กฏหมายที่กำหนดความผิดทางอาญาพื้นฐานที่สังคมเห็นว่าเป็นการกระทำที่ต้องลงโทษ
ข้อสังเกตุ แม้กฏหมายอาญาจะเป็นกฏหมายที่มีรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแต่ก็ไม่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกฏหมามหาชน
(5) กฏหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
กฏหมายวิธีจารณาความแพ่ง คือ กฏหมายที่กำหนดเขตอำนาจศาลและการดำเนิน
(4) กฏหมายสังคม
กฏหมายสังคมจะประกอบไปด้วย กฏหมายแรงงานและกฏหมายประกันสังคม
(3) กฏหมายการเกษตร
กฏหมายการเกษตร คือ กฏหมายที่ว่าด้วยกิจกรรมทางการเกษตรเป็นส่วนใหญ่
(2) ประโยชน์ในแง่เนื้อหาของกฏหมาย
กฏหมายเอกชนและกฏหมายของมหาชน จะมีหลักของเนื้อหากฏหมายต่างกันออกไป เพราะตั้งอยู่บนวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน
2. กฏหมายสารบัญญัติและกฏหมายวิธีสบัญญัติ
กฏหมายสารบัญญัติ หมายถึง กฏหมายที่บัญญัติหน้าที่ถึงเนื้อหาของสิทธิ หน้าที่ ข้อห้าม
กฏหมายวิธีสบัญญัติ หมายถึง กฏหมายที่บัญญัติถึงกระบวนการในการยุติข้อพิพาทที่เกิดขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม อาจมีกรณีที่กฏหมายฉบับหนึ่งมีเนื้อหาที่เป็นทั้งส่วนสารบัญญัติและวิธีสบัญญัติรวมอยู่ด้วยกันได้ เช่น
พระราชบัญญัติล้มละลาย ซึ่งมีเนื้อหาในส่วนที่เกี่ยวกับหลักเกณฑ์องค์ประกอบ และสภาพบังคับ เป็นกฏหมายสารบัญญัติ และมีเนื้อหาที่กล่าวถึงวิธีการดำเนินคดีล้มละลาย ซึ่งเป็นกฏหมายวิธีสบัญญัติรวมอยู่ด้วย
กฏหมายสารบัญญัติ หมายถึง กฏหมายที่บัญญัติหน้าที่ถึงเนื้อหาของสิทธิ หน้าที่ ข้อห้าม
กฏหมายวิธีสบัญญัติ หมายถึง กฏหมายที่บัญญัติถึงกระบวนการในการยุติข้อพิพาทที่เกิดขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม อาจมีกรณีที่กฏหมายฉบับหนึ่งมีเนื้อหาที่เป็นทั้งส่วนสารบัญญัติและวิธีสบัญญัติรวมอยู่ด้วยกันได้ เช่น
พระราชบัญญัติล้มละลาย ซึ่งมีเนื้อหาในส่วนที่เกี่ยวกับหลักเกณฑ์องค์ประกอบ และสภาพบังคับ เป็นกฏหมายสารบัญญัติ และมีเนื้อหาที่กล่าวถึงวิธีการดำเนินคดีล้มละลาย ซึ่งเป็นกฏหมายวิธีสบัญญัติรวมอยู่ด้วย
3. กฏหมายประเภทอื่นๆ ในการแบ่งแยกกฏหมายออกเป็นประเภทต่างๆ นั้น โดยหลักแล้วการแบ่งแยกออกเป็น 2 กลุ่มคือ
กฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชน (ซึ่งแบ่งโดยถือลักษณะการใช้เป็นเกณฑ์)
ในส่วนนี้จะขอกล่าวถึงการแบ่งแยกกฏหมายออกเป็นประเภทอื่นๆ อยู่ 3 กรณีด้วยกัน กล่าวคือ
(1) กฏหมายภายในและกฏหมายภายนอก
(2) กฏหมายลายลักษณ์อักษรและกฏหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
(3) กฏหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญาและกฏหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง
กฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชน (ซึ่งแบ่งโดยถือลักษณะการใช้เป็นเกณฑ์)
ในส่วนนี้จะขอกล่าวถึงการแบ่งแยกกฏหมายออกเป็นประเภทอื่นๆ อยู่ 3 กรณีด้วยกัน กล่าวคือ
(1) กฏหมายภายในและกฏหมายภายนอก
(2) กฏหมายลายลักษณ์อักษรและกฏหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
(3) กฏหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญาและกฏหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง
3.1 กฏหมายภายในและกฏหมายภายนอก
การแบ่งประเภทออกเป็นกฏหมายในและกฏหมายนอกนี้ เป็นการแบ่งโดยยึดถือหลักเกณฑ์ที่แหล่งกำเนิดเป็นสำคัญ กล่าวคือ
3.1.1 กฏหมายภายใน
กฏหมายภายใน หมายถึง กฏหมายที่ใช้บังคับภายในประเทศ ซึ่งออกโดยองค์กรที่มีอำนาจในการตรากฏหมายของประเทศนั้น
3.1.2 กฏหมายภายนอกหรือกฏหมายระหว่างประเทศ
กฏหมายระหว่างประเทศนั้น เป็นกฏหมายที่บัญญัติขึ้นโดยองค์การระหว่างประเทศหรือเกิดขึ้นจากความตกลงระหว่างประเทศสมาชิกที่เห็นพ้องต้องกันที่จะยอมรับกฏหมายหรือข้อตกลงระหว่างประเทศนั้น
กฏหมายระหว่างประเทศ อาจแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 3 ประเภท ด้วยกันคือ
(1) กฏหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง (Public International Law)
(2) กฏหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล (Private International Law)
(3) กฏหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา (International Criminal Law)
การแบ่งประเภทออกเป็นกฏหมายในและกฏหมายนอกนี้ เป็นการแบ่งโดยยึดถือหลักเกณฑ์ที่แหล่งกำเนิดเป็นสำคัญ กล่าวคือ
3.1.1 กฏหมายภายใน
กฏหมายภายใน หมายถึง กฏหมายที่ใช้บังคับภายในประเทศ ซึ่งออกโดยองค์กรที่มีอำนาจในการตรากฏหมายของประเทศนั้น
3.1.2 กฏหมายภายนอกหรือกฏหมายระหว่างประเทศ
กฏหมายระหว่างประเทศนั้น เป็นกฏหมายที่บัญญัติขึ้นโดยองค์การระหว่างประเทศหรือเกิดขึ้นจากความตกลงระหว่างประเทศสมาชิกที่เห็นพ้องต้องกันที่จะยอมรับกฏหมายหรือข้อตกลงระหว่างประเทศนั้น
กฏหมายระหว่างประเทศ อาจแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 3 ประเภท ด้วยกันคือ
(1) กฏหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง (Public International Law)
(2) กฏหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล (Private International Law)
(3) กฏหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา (International Criminal Law)
...................................................................................................................................................................
4. ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรว่าทำไมทุกประเทศจำเป็นต้องมีกฎหมาย
จงอธิบาย
ตอบ เพื่อเป็นแบบแผนในการควบคุมความประพฤติของสมาชิกในสังคมรวมทั้งเพื่อรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคม คำสั่งหรือข้อบังคับ
จากคณะบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดของรัฐ เป็นข้อบังคับใช้กับคนทุกคนที่อยู่ในรัฐหรือประเทศนั้น
ๆ
.........................................................................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................................................................
5.สภาพบังคับในทางกฎหมายท่านมีความเข้าใจอย่างไร
จงอธิบาย
ตอบ
กฎหมายเป็นกฎเกณฑ์ที่กำหนดความประพฤติของมนุษย์เพื่อให้มนุษย์เพื่อให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
การฝ่าฝืนกฎเกณฑ์กฎหมายใดไม่มีสภาพบังคับไม่เรียกว่าเป็นกฎหมาย
สภาพบังคับตามกฎหมาย
- สภาพบังคับตามกฎหมายเอกชน ตามกฎหมายเอกชนโดยทั่วไปแล้วบุคคลย่อมอยู่ในสถานะที่เท่าเทียมกัน ดังนั้น กรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลตามกฎหมายเอกชนหรือการบังคับให้เป็นไปตามสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายเอกชน เอกชนไม่มีอำนาจที่จะบังคับให้การเป็นไปตามสิทธิหรือหน้าที่โดยอำนาจของตนเอง ด้วยเหตุนี้ เอกชนจึงต้องนำคดีไปฟ้องต่อศาลเพื่อให้องค์กรของรัฐทำหน้าที่ในการบังคับให้เป็นไปตามสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายเอกชน
- สภาพบังคับทางปกครอง โดยที่ฝ่ายปกครองดำเนินภาระหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนรวม ดังนั้น การที่ฝ่ายปกครองออกคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่ง หากผู้มีหน้าที่ตามคำสั่งทางปกครองไม่ดำเนินการดังกล่าว ฝ่ายปกครองจึงมีเอกสิทธิ์ที่จะบังคับการให้เป็นไปตามคำสั่งทางปกครองได้เอง โดยไม่ต้องไปอาศัยบารมีของศาล
.......................................................................................................................................................................................................................
สภาพบังคับตามกฎหมาย
- สภาพบังคับตามกฎหมายเอกชน ตามกฎหมายเอกชนโดยทั่วไปแล้วบุคคลย่อมอยู่ในสถานะที่เท่าเทียมกัน ดังนั้น กรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลตามกฎหมายเอกชนหรือการบังคับให้เป็นไปตามสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายเอกชน เอกชนไม่มีอำนาจที่จะบังคับให้การเป็นไปตามสิทธิหรือหน้าที่โดยอำนาจของตนเอง ด้วยเหตุนี้ เอกชนจึงต้องนำคดีไปฟ้องต่อศาลเพื่อให้องค์กรของรัฐทำหน้าที่ในการบังคับให้เป็นไปตามสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายเอกชน
- สภาพบังคับทางปกครอง โดยที่ฝ่ายปกครองดำเนินภาระหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนรวม ดังนั้น การที่ฝ่ายปกครองออกคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่ง หากผู้มีหน้าที่ตามคำสั่งทางปกครองไม่ดำเนินการดังกล่าว ฝ่ายปกครองจึงมีเอกสิทธิ์ที่จะบังคับการให้เป็นไปตามคำสั่งทางปกครองได้เอง โดยไม่ต้องไปอาศัยบารมีของศาล
.......................................................................................................................................................................................................................
6. สภาพข้อบังคับกฎหมายในอาญา
และทางแพ่งมีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างไร
ตอบ สภาพบังคับของกฎหมายอาญา โทษทางอาญา
เป็นสภาพบังคับหลักทางอาญาที่สามารถใช้ได้กับการกระทำที่เป็นความผิดทางอาญาตามกฎหมายอื่นด้วย
ดุลยพินิจในการลงโทษ ที่ศาลจะลงโทษผู้กระทำความผิดหนักเบาเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับทฤษฏีซึ่งเกี่ยวกับจุดประสงค์ในการลงโทษ
ซึ่งแยกได้ 2 ทฤษฏี คือ ทฤษฏีเด็ดขาด การลงโทษ คือ
การตอบแทนแก้แค้นการกระทำผิด การลงโทษหนักเบาย่อมเป็นไปตามความร้ายแรงของความผิด
และทฤษฏีสัมพันธ์ การลงโทษมีประโยชน์คือ เพื่อให้สังคมปลอดภัย
โทษจึงทำหน้าที่ห้ามไม่ให้คนกระทำความผิด และในกรณีกระทำความผิดไปแล้ว
โทษมีความจำเป็นเพื่อปรับปรุงให้ผู้กระทำความผิดนั้นกลับตัวกลับใจแก้ไขการกระทำผิดที่เคยเกิดขึ้นและสามารถกลับเค้าสู่สังคมอย่างเดิม
กฎหมายแพ่ง คือ กฎหมายที่เกี่ยวกับครอบครัวและมรดก กฎหมายแพ่งที่เกี่ยวกับครอบครัวเป็นกฎหมายที่บัญญัติเกี่ยวข้องกับชีวิตของตนเองและครอบครัว ดังนี้ การหมั้น เป็นการที่หญิงชายตกลงทำสัญญาว่าจะทำการสมรสกัน การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบทรัพย์อันเป็นของหมั้นให้แก่ฝ่ายหญิง แต่ในการสมรสนั้นไม่ได้บังคับว่าจะมีการหมั้นก่อน แต่ถ้าหมั้นก็จะมีผลผูกพันกัน ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการหมั้น เช่น ของหมั้นจะตกเป็นสิทธิแก่หญิงทันที เมื่อมีการหมั้นแล้ว ไม่ว่าชายหรือหญิงตาย ฝ่ายหญิงก็ไม่ต้องคืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายเป็นต้น
.........................................................................................................................................................................................................................
กฎหมายแพ่ง คือ กฎหมายที่เกี่ยวกับครอบครัวและมรดก กฎหมายแพ่งที่เกี่ยวกับครอบครัวเป็นกฎหมายที่บัญญัติเกี่ยวข้องกับชีวิตของตนเองและครอบครัว ดังนี้ การหมั้น เป็นการที่หญิงชายตกลงทำสัญญาว่าจะทำการสมรสกัน การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบทรัพย์อันเป็นของหมั้นให้แก่ฝ่ายหญิง แต่ในการสมรสนั้นไม่ได้บังคับว่าจะมีการหมั้นก่อน แต่ถ้าหมั้นก็จะมีผลผูกพันกัน ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการหมั้น เช่น ของหมั้นจะตกเป็นสิทธิแก่หญิงทันที เมื่อมีการหมั้นแล้ว ไม่ว่าชายหรือหญิงตาย ฝ่ายหญิงก็ไม่ต้องคืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายเป็นต้น
.........................................................................................................................................................................................................................
7. ระบบกฎหมายเป็นอย่างไร
จงอธิบาย
ตอบ
ระบบกฎหมายหลักๆในโลกนี้มีอยู่ 4 ระบบใหญ่ ๆ ด้วยกัน คือ
1.ระบบกฎหมายซีวิล ลอว์(Civil Law)
หรือก็คือระบบกฎหมายแบบลายลักษณ์อักษร จุดกำเนิดอยู่ที่อาณาจักรโรมัน
ระบบกฎหมายนี้จะมีลักษณะเป็นการรวมรวมเอาจารีตประเภณีหรือกฎหมายต่างๆหรือบัญญัติกฎหมายขึ้นใหม่
โดยบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรและจัดไว้เป็นหมวดหมู่อย่างเป็นระเบียบ
ซึ่งเรียกว่าประมวลกฎหมาย ซึ่งแต่เดิมนั้นไม่มีการบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
ชนชั้นที่ถูกปกครองในโรมันจึงมีการเรียกร้องให้ชนชั้นสูงทำการเขียนกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษร
เพื่อให้ชนชั้นที่ถูกปกครองได้รู้กฎหมายด้วย
ซึ่งระบบกฎหมายนี้ก็ได้มีการพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
ในประเทศไทยก็ใช้ระบบกฎหมายซีวิล ลอว์ ตัวอย่างก็เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ประมวลกฎหมายอาญา ฯลฯ
2.ระบบกฎหมายคอมมอน ลอว์(Common Law)
หรือก็คือระบบกฎหมายจารีตประเพณี จุดกำเนิดอยู่ที่อังกฤษ
เนื่องจากแต่เดิมนั้นประเทศอังกฤษมีชนเผ่าอยู่มากมายหลายชนเผ่าด้วยกัน
ต่อมาได้มีการจัดตั้งศาลหลวงหรือศาลพระมหากษัตริย์ขึ้น
โดยคัดเลือกผู้พิพากษาที่มีความรู้จากส่วนกลางไปพิจารณาคดีในแต่ละท้องถิ่น
ซึ่งแต่ละชนเผ่าก็มีจารีตประเพณีที่แตกต่างกันออกไป
ทำให้เกิดปัญหาในการพิจารณาคดีมากมาย
แต่ในภายหลังปัญหาก็ค่อยๆหมดไปเพราะเริ่มมีจารีตประเพณีที่มีลักษณะเป็นสามัญขึ้นโดยศาลหลวงได้ใช้จารีตประเพณีเหล่านี้ในการพิจารณาคดี
ในระบบคอมมอน ลอว์แต่เดิมจะไม่มีการบัญญัติกฎหมายไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
เมื่อศาลใช้จารีตประเพณีในการพิพากษาตัดสินคดีแล้ว
ก็จะมีการบันทึกคำพิพากษานั้นเอาไว้ เพื่อใช้เป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาคดีต่อๆไป
หาข้อเท็จจริงในคดีต่อๆมาเหมือนกับคดีก่อน ศาลก็จะพิพากษาไปตามที่ได้มีการบันทึกไว้แล้ว
ถือได้ว่าคำพิพากษาของศาลก็คือกฎหมายนั่นเอง
แต่ปัจจุบันนี้ในประเทศอังกฤษก็ใช้ทั้งระบบกฎหมายแบบซีวิล ลอว์และคอมมอน ลอว์
ควบคู่กันไป
3.ระบบกฎหมายสังคมนิยม(Socialist Law)
จุดกำเนิดของระบบกฎหมายน้อยู่ที่รัสเซีย แต่เดิมรัสเซียใช้ระบบกฎหมายซีวิล ลอว์
แต่ในภายหลังเมื่อพรรคคอมมิวนิสต์ครองอำนาจ ก็ได้มีการนำหลักการและแนวความคิดของ
คาร์ล มาร์กซ์ และ เลนิน
มาใช้โดยเชื่อว่ากฎหมายเป็นเครื่องมือในการขัดระเบียบและกลไกในสังคม
เพื่อให้คนในสังคมมีความเท่าเทียมกัน ปราศจากการกดขี่ข่มเหง ปราศจากชนชั้นวรรณะ
ประชาชนทุกคนเป็นเจ้าของทรัพย์สินทั้งหมดร่วมกัน กฎหมายมีอยู่เพื่อความเท่าเทียม
เมื่อใดที่สังคมเกิดความเท่าเทียมกันแล้วกฎหมายก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป
ส่วนลักษณะของกฎหมายสังคมนิยมนั้นจะมีการผสมผสานระหว่างกฎหมายลายลักษณ์อักษรกับจารีตประเพณีเข้าด้วยกัน
โดยมีการบัญญัติกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษร
ส่วนจารีตประเพณีนั้นเป็นตัวช่วยในการตีความและอุดช่องว่างของกฎหมายเมื่อไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
และที่สำคัญก็คือกฎหมายในระบบสังคมนิยมนั้นต้องแฝงหลักการหรือแนวคิดของคาร์ล
มาร์กซ์ และ เลนิน ด้วยเสมอ
4.ระบบกฎหมายศาสนาและประเภณีนิยม ลักษณะของกฎหมายในระบบนี้
โดยเนื้อหาของกฎหมายแล้วก็จะอาศัยศาสนาหรือประเภณีนิยมเป็นฐานในการบัญญัติกฎหมายขึ้นมา
เช่น กฎหมายศาสนาอิสลามกำหนดหน้าที่ของชาวมุสลิมที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้า ในปัจจุบันประเทศที่นับถือศาสนาอิสลาม
กฎหมายอิสลามมีส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวกับครอบครัวและมรดก
แต่ส่วนกฎหมายในเรื่องอื่นๆก็จะใช้แนวทางของกฎหมายของทางโลกตะวันตก หรือใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่จังหวัดสตูล ยะลา ปัตตานี นราธิวาส
ในเรื่องครอบครัวและมรดกก็จะต้องนำกฎหมายศาสนาอิสลามมาใช้บังคับ
ซึ่งถือเป็นข้อยกเว้นเฉพาะ 4 จังหวัดดังกล่าวเท่านั้น ส่วนในเรื่องอื่นๆทุกจังหวัดก็จะใช้กฎหมายฉบับเดียวกันรวมไปถึง 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย เช่นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นต้น
ส่วนประเภณีนิยมนั้น คือ สิ่งที่คนในสังคมยอมรับและปฏิบัติสืบต่อกันมา
เช่นในประเทศจีนก็มีการนำประเภณีนิยมของนักปราชญ์อย่าง ขงจื้อ
มาเป็นแนวทางในการบัญญัติกฎหมาย
หรือประเภณีโบราณของลัทธิชินโตก็ใช้เป็นแนวทางในการบัญญัติกฎหมายในประเทศญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน
ฯลฯ
.........................................................................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................................................................
8. ประเภทของกฎหมายมีหลักการแบ่งอย่างไรบ้าง
มีกี่ประเภท แต่ละประเภทประกอบด้วยอะไรบ้าง ยกตัวอย่างอธิบาย
ตอบ หลักการแบ่งของกฎหมายมีดังนี้
-แบ่งโดยแหล่งกำเนิด อาจแบ่งออกได้เป็นกฎหมายภายในและกฎหมายภายนอก กฎหมายภายในเป็นหลักในการแบ่งย่อยออกไปได้อีก เช่น- แบ่งโดยถือเนื้อหาเป็นหลัก เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรและกฎหมายที่ไม่ได้เป็นลายลักษณ์อักษร
- แบ่งโดยถือสภาพบังคับกฎหมายเป็นหลัก เป็นกฎหมายอาญา และกฎหมายแพ่ง
- แบ่งโดยถือลักษณะเป็นหลัก แบ่งได้เป็น กฎหมายสารบัญญัติ และกฎหมายวิธีบัญญัติ
- แบ่งโดยถือฐานะและความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนเป็นเกณฑ์ แบ่งได้เป็น กฎหมายมหาชน และกฎหมายเอกชน
- กฎหมายภายนอก เป็นกฎหมายระหว่างประเทศ
- กฎหมายระหว่างประเทศแบ่งตามลักษณะของฐานะความสัมพันธ์
-แบ่งโดยแหล่งกำเนิด อาจแบ่งออกได้เป็นกฎหมายภายในและกฎหมายภายนอก กฎหมายภายในเป็นหลักในการแบ่งย่อยออกไปได้อีก เช่น- แบ่งโดยถือเนื้อหาเป็นหลัก เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรและกฎหมายที่ไม่ได้เป็นลายลักษณ์อักษร
- แบ่งโดยถือสภาพบังคับกฎหมายเป็นหลัก เป็นกฎหมายอาญา และกฎหมายแพ่ง
- แบ่งโดยถือลักษณะเป็นหลัก แบ่งได้เป็น กฎหมายสารบัญญัติ และกฎหมายวิธีบัญญัติ
- แบ่งโดยถือฐานะและความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนเป็นเกณฑ์ แบ่งได้เป็น กฎหมายมหาชน และกฎหมายเอกชน
- กฎหมายภายนอก เป็นกฎหมายระหว่างประเทศ
- กฎหมายระหว่างประเทศแบ่งตามลักษณะของฐานะความสัมพันธ์
โดยแบ่งประเภทเป็น 2 ประเภท คือ
กฎหมายภายใน มีดังนี้
1. กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
1.1 กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น เทศบัญญัติ
1.2 กฎหมายที่เป็นไม่เป็นลายลักษณ์อักษร เป็นกฎหมายที่มิได้มีการบัญญัติโดยผ่านกระบวนการนิติบัญญัติ เช่น จารีตประเพณี หลักกฎหมายทั่วไป
กฎหมายภายใน มีดังนี้
1. กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
1.1 กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น เทศบัญญัติ
1.2 กฎหมายที่เป็นไม่เป็นลายลักษณ์อักษร เป็นกฎหมายที่มิได้มีการบัญญัติโดยผ่านกระบวนการนิติบัญญัติ เช่น จารีตประเพณี หลักกฎหมายทั่วไป
2. กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา และกฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง
2.1 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา เช่น การกำหนดให้เป็น โมฆะกรรมหรือโมฆียกรรม การบังคับให้ชาระหนี้ การให้ชดใช้ค่าเสียหาย หรือการที่กฎหมายบังคับให้ทาอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อความเป็นธรรม
2.2 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง เช่น การกำหนดให้เป็น โมฆะกรรมหรือโมฆียกรรม การบังคับให้ชาระหนี้ การให้ชดใช้ค่าเสียหาย หรือการที่กฎหมายบังคับให้ทาอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อความเป็นธรรม
2.1 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา เช่น การกำหนดให้เป็น โมฆะกรรมหรือโมฆียกรรม การบังคับให้ชาระหนี้ การให้ชดใช้ค่าเสียหาย หรือการที่กฎหมายบังคับให้ทาอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อความเป็นธรรม
2.2 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง เช่น การกำหนดให้เป็น โมฆะกรรมหรือโมฆียกรรม การบังคับให้ชาระหนี้ การให้ชดใช้ค่าเสียหาย หรือการที่กฎหมายบังคับให้ทาอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อความเป็นธรรม
3. กฎหมายสารบัญญัติ
และกฎหมายวิธีบัญญัติ
3.1 กฎหมายสารบัญญัติ แบ่งโดยคำนึงถึงบทบาทของกฎหมายเป็นหลัก เช่นตัวบทกฎหมายในประมวลกฎหมายอาญาและในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชเกือบทุกมาตราเป็นกฎหมายสารบัญญัติ
3.2 กฎหมายวิธีบัญญัติ กล่าวถึง วิธีการและขั้นตอนในการใช้กฎหมายบังคับ เช่นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งในประมวลกฎหมายนี้ กำหนดตั้งแต่อำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานของรัฐในการดาเนินคดีทางอาญา การร้องทุกข์ การกล่าวโทษว่ามีการกระทาผิดอาญาเกิดขึ้น การสอบสวนคดีโดยเจ้าพนักงาน การฟ้องร้องคดีต่อศาล การพิจารณาคดี และการพิจารณาคดีในศาล การลงโทษแก่ผู้กระทำผิด สำหรับคดีแพ่ง กฎหมายวิธีการพิจารณาความแพ่งจะกำหนดขั้นตอนต่าง ๆไว้ เป็นวิธีการดำเนินคดีเริ่มตั้งแต่ฟ้องคดีเรื่อยไปจนถึงศาลพิจารณาคดีและบังคับให้เป็นไปคาพิพากษา ยังมีกฎหมายบางฉบับมีทั้งที่เป็นสารบัญญัติและวิธีบัญญัติทาให้ยากที่จะแบ่งว่าเป็นประเภทใด เช่น พระราชบัญญัติล้มละลาย มีทั้งหลักเกณฑ์องค์ประกอบและวิธีการดาเนินคดีล้มละลายรวมอยู่ด้วย การที่จะเป็นไปกฎหมายประเภทใดให้ดูว่าสาระนั้นหนักไปทางใดมากกว่ากัน
3.1 กฎหมายสารบัญญัติ แบ่งโดยคำนึงถึงบทบาทของกฎหมายเป็นหลัก เช่นตัวบทกฎหมายในประมวลกฎหมายอาญาและในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชเกือบทุกมาตราเป็นกฎหมายสารบัญญัติ
3.2 กฎหมายวิธีบัญญัติ กล่าวถึง วิธีการและขั้นตอนในการใช้กฎหมายบังคับ เช่นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งในประมวลกฎหมายนี้ กำหนดตั้งแต่อำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานของรัฐในการดาเนินคดีทางอาญา การร้องทุกข์ การกล่าวโทษว่ามีการกระทาผิดอาญาเกิดขึ้น การสอบสวนคดีโดยเจ้าพนักงาน การฟ้องร้องคดีต่อศาล การพิจารณาคดี และการพิจารณาคดีในศาล การลงโทษแก่ผู้กระทำผิด สำหรับคดีแพ่ง กฎหมายวิธีการพิจารณาความแพ่งจะกำหนดขั้นตอนต่าง ๆไว้ เป็นวิธีการดำเนินคดีเริ่มตั้งแต่ฟ้องคดีเรื่อยไปจนถึงศาลพิจารณาคดีและบังคับให้เป็นไปคาพิพากษา ยังมีกฎหมายบางฉบับมีทั้งที่เป็นสารบัญญัติและวิธีบัญญัติทาให้ยากที่จะแบ่งว่าเป็นประเภทใด เช่น พระราชบัญญัติล้มละลาย มีทั้งหลักเกณฑ์องค์ประกอบและวิธีการดาเนินคดีล้มละลายรวมอยู่ด้วย การที่จะเป็นไปกฎหมายประเภทใดให้ดูว่าสาระนั้นหนักไปทางใดมากกว่ากัน
4. กฎหมายมหาชน
และกฎหมายเอกชน
4.1 กฎหมายมหาชน เป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน รัฐเป็นผู้มีอำนาจบังคับให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยแก่สังคม เป็นเครื่องมือในการควบคุมสังคม คือ กฎหมายมหาชน ได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ กำหนดระเบียบแบบแผนการใช้อำนาจอธิปไตย กำหนดสิทธิและหน้าที่ของประชาชน กฎหมายปกครอง กำหนดการแบ่งส่วนราชการเพื่อบริหารประเทศ และการบริการสาธารณะด้านต่าง ๆ แก่ประชาชน
4.1 กฎหมายมหาชน เป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน รัฐเป็นผู้มีอำนาจบังคับให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยแก่สังคม เป็นเครื่องมือในการควบคุมสังคม คือ กฎหมายมหาชน ได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ กำหนดระเบียบแบบแผนการใช้อำนาจอธิปไตย กำหนดสิทธิและหน้าที่ของประชาชน กฎหมายปกครอง กำหนดการแบ่งส่วนราชการเพื่อบริหารประเทศ และการบริการสาธารณะด้านต่าง ๆ แก่ประชาชน
กฎหมายอาญา เพื่อคุ้มครองความสงบในสังคม รัฐต้องลงโทษผู้ฝ่าฝืนและกระทาผิด
สาหรับวิธีและขั้นตอนที่จะเอาคนมาลงโทษทางอาญา
บัญญัติไว้ในกฎหมายวิธีการพิจารณาความอาญา และพระบัญญัติอื่น ๆ
เป็นกฎหมายที่ควบคุมและคุ้มครองสังคมให้เกิดความสงบสุขและเป็นธรรม
4.2 กฎหมายเอกชน เป็นกฎหมายที่มีความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนด้วยกัน เช่น กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และพระราชบัญญัติบางฉบับ เช่น พระราชบัญญัติบริษัทมหาชน จากัด เปิดโอกาสให้ประชาชนสร้างความสัมพันธ์เชิงกฎหมายระหว่างกันในรูปของการทานิติกรรมสัญญา มีผลต่อคู่กรณีให้มีกฎหมายคุ้มครองทั้ง 2 ฝ่ายมีผลผูกพัน โดยการทาสัญญา ปฏิบัติตามกฎหมายครบทุกประการ ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปปฏิบัติตามหน้าที่ย่อมถูกฟ้องบังคับให้ปฏิบัติตามได้
4.2 กฎหมายเอกชน เป็นกฎหมายที่มีความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนด้วยกัน เช่น กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และพระราชบัญญัติบางฉบับ เช่น พระราชบัญญัติบริษัทมหาชน จากัด เปิดโอกาสให้ประชาชนสร้างความสัมพันธ์เชิงกฎหมายระหว่างกันในรูปของการทานิติกรรมสัญญา มีผลต่อคู่กรณีให้มีกฎหมายคุ้มครองทั้ง 2 ฝ่ายมีผลผูกพัน โดยการทาสัญญา ปฏิบัติตามกฎหมายครบทุกประการ ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปปฏิบัติตามหน้าที่ย่อมถูกฟ้องบังคับให้ปฏิบัติตามได้
กฎหมายภายนอก
มีดังนี้
1. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมืองเป็นกฎหมายที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐในการที่จะต้องปฏิบัติต่อกันและกัน ในฐานะที่รัฐเป็นนิติบุคคลในกฎหมายระหว่างประเทศซึ่งมีเกณฑ์กำหนดกล่าวคือ 1) ประชาชนรวมกันอยู่เป็นกลุ่มก้อน ปึกแผ่น เรียกว่า พลเมือง 2) ต้องมีดินแดนหรืออาณาเขตที่แน่นอน 3) มีการปกครองเป็นระเบียบแบบแผน 4) เป็นเอกราช 5) มีอธิปไตย เช่น กฎบัตรสหประชาชาติ สนธิสัญญา ข้อตกลงการค้าโลก กฎหมายที่เป็นจารีตประเพณีที่ยึดถือปฏิบัติกันมานาน รัฐทุกรัฐต่างเห็นชอบ เช่น หลักการแต่งตั้งเอกอัครราชทูต เอกสิทธิในทางการทูต
2. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล เป็นข้อบังคับที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในรัฐต่างรัฐ เช่น พระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดแย้งแห่งกฎหมาย เป็นการบังคับความสัมพันธ์ของบุคคลที่อยู่ในประเทศไทยกับบุคคลที่อยู่ในรัฐอื่น ๆ
3. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา เป็นข้อบังคับที่ประเทศหนึ่งหรือรัฐหนึ่งตกลงยอมรับให้ศาลส่วนอาญาของอีกรัฐหนึ่งมีอำนาจในการพิจาณาลงโทษอาญาแก่บุคคลที่ได้กระทาผิดนอกประเทศนั้นได้ เช่น สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน
.........................................................................................................................................................................................................................
1. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมืองเป็นกฎหมายที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐในการที่จะต้องปฏิบัติต่อกันและกัน ในฐานะที่รัฐเป็นนิติบุคคลในกฎหมายระหว่างประเทศซึ่งมีเกณฑ์กำหนดกล่าวคือ 1) ประชาชนรวมกันอยู่เป็นกลุ่มก้อน ปึกแผ่น เรียกว่า พลเมือง 2) ต้องมีดินแดนหรืออาณาเขตที่แน่นอน 3) มีการปกครองเป็นระเบียบแบบแผน 4) เป็นเอกราช 5) มีอธิปไตย เช่น กฎบัตรสหประชาชาติ สนธิสัญญา ข้อตกลงการค้าโลก กฎหมายที่เป็นจารีตประเพณีที่ยึดถือปฏิบัติกันมานาน รัฐทุกรัฐต่างเห็นชอบ เช่น หลักการแต่งตั้งเอกอัครราชทูต เอกสิทธิในทางการทูต
2. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล เป็นข้อบังคับที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในรัฐต่างรัฐ เช่น พระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดแย้งแห่งกฎหมาย เป็นการบังคับความสัมพันธ์ของบุคคลที่อยู่ในประเทศไทยกับบุคคลที่อยู่ในรัฐอื่น ๆ
3. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา เป็นข้อบังคับที่ประเทศหนึ่งหรือรัฐหนึ่งตกลงยอมรับให้ศาลส่วนอาญาของอีกรัฐหนึ่งมีอำนาจในการพิจาณาลงโทษอาญาแก่บุคคลที่ได้กระทาผิดนอกประเทศนั้นได้ เช่น สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน
.........................................................................................................................................................................................................................
9. ท่านเข้าใจถึงคำว่าศักดิ์ของกฎหมายคืออะไร
มีการแบ่งอย่างไร
ตอบ ศักดิ์ของกฎหมายเป็นการพิจารณาลำดับชั้นแห่งค่าบังคับของกฎหมาย ทั้งนี้
เพราะกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่ใช้บังคับอยู่มีหลายประเภท และมีชื่อเรียกแตกต่างกัน
การจัดศักดิ์ของกฎหมายจึงมีความสำคัญต่อกระบวนวิธีการต่าง ๆ ทางกฎหมาย
ไม่ว่าจะเป็นการใช้ การตีความ และการยกเลิกกฎหมาย
ซึ่งเกณฑ์ที่ใช้ในการกำหนดศักดิ์ของกฎหมายนั้น
จะพิจารณาจากองค์กรที่มีอำนาจในการออกกฎหมาย ศักดิ์ของกฎหมายเป็นดังนี้
1. รัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายสูงสุดที่กำหนดรูปแบบการปกครองและระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ตลอดจนสิทธิต่าง ๆ
ของประชาชนทั้งประเทศ นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญยังเป็นกฎหมายแม่บทของกฎหมายทุกฉบับ
ดังนั้น กฎหมายฉบับอื่นที่มีลำดับชั้นต่ำกว่าจะมีเนื้อหาที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้
หากขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ กฎหมายฉบับนั้นจะถือว่าไม่มีผลบังคับ
2. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายที่อธิบายขยายความเพื่อประกอบเนื้อความในรัฐธรรมนูญให้สมบูรณ์
ละเอียดชัดเจน ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด
โดยถือว่ากฎหมายประเภทนี้มีลักษณะและหลักเกณฑ์พิเศษแตกต่างจากกฎหมายธรรมดา ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2550 ได้มีการกำหนดกระบวนการในการตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญให้แตกต่างไปจากพระราชบัญญัติทั่วไป
โดยกำหนดในลักษณะที่ให้ความสำคัญกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญมากกว่าพระราชบัญญัติทั่วไป
3. พระราชบัญญัติ/พระราชกำหนด/ประมวลกฎหมาย พระราชบัญญัติ
เป็นกฎหมายลำดับชั้นรองลงมาจากรัฐธรรมนูญ
เพราะพระราชบัญญัติออกมาเป็นกฎหมายโดยอาศัยอำนาจรัฐธรรมนูญโดยตรง
ซึ่งองค์กรที่ทำหน้าที่ในการตราพระราชบัญญัติ คือ รัฐสภา ซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ โดยรัฐสภาจะตราพระราชบัญญัติที่มีเนื้อหาขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้
ประมวลกฎหมาย
เป็นกฎหมายในลำดับเดียวกับพระราชบัญญัติ องค์กรที่ทำหน้าที่ในการตราประมวลกฎหมาย
คือ รัฐสภา ซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ
มีลักษณะเรียบเรียงเรื่องราวไว้อย่างเป็นหมวดหมู่เดียวกันและมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน
ปัจจุบันมีประมวลกฎหมายที่สำคัญ ได้แก่ ประมวลกฎหมายอาญา
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลรัษฎากร ประมวลกฎหมายที่ดิน
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
พระราชกำหนด
เป็นกฎหมายที่รัฐธรรมนูญมอบอำนาจในการบัญญัติให้กับฝ่ายบริหาร คือคณะรัฐมนตรี โดยคณะรัฐมนตรีจะมีอำนาจในการออกพระราชกำหนดเพื่อใช้บังคับแทนพระราชบัญญัติได้ในกรณีพิเศษตามที่รัฐธรรมนูญมอบอำนาจไว้เป็นการชั่วคราว
เพื่อแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าที่ต้องการการดำเนินการที่จำเป็นและเร่งด่วน
เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติโดยส่วนร่วม โดยหลังจากมีการประกาศใช้ พระราชกำหนดนั้นแล้ว
จะต้องนำพระราชกำหนดมาให้รัฐสภาพิจารณาเพื่อขอความเห็นชอบ ถ้ารัฐสภาให้ความเห็นชอบ
พระราชกำหนดก็จะกลายเป็นกฎหมายถาวร แต่หากรัฐสภาไม่ให้ความเห็นชอบ
พระราชกำหนดก็จะสิ้นผลไป โดยการดำเนินการใด ๆ ก่อนที่พระราชกำหนดจะสิ้นผลไป
ถือว่าชอบด้วยกฎหมาย แม้ภายหลังจะปรากฏว่าพระราชกำหนดสิ้นผลไป
4. พระราชกฤษฎีกา เป็นกฎหมายที่กำหนดรายละเอียดซึ่งเป็นหลักการย่อย
ๆ ของพระราชบัญญัติ พระราชกำหนด โดยพระราชบัญญัติ พระราชกำหนด ได้กำหนดหลักการใหญ่
ๆ ไว้ ซึ่งเป็นสาระสำคัญโดยรวมและให้ออกพระราชกฤษฎีกาโดยอาศัยอำนาจพระราชบัญญัติ
พระราชกำหนด เพื่ออธิบายรายละเอียดต่าง ๆ ตามหลักการในพระราชบัญญัติ พระราชกำหนดนั้น
เมื่อพระราชกฤษฎีกาเป็นกฎหมายที่ออกมาโดยอาศัยอำนาจจากกฎหมายแม่บท คือ
รัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่น ๆ เช่น พระราชบัญญัติ พระราชกำหนดแล้ว
พระราชกฤษฎีกาจะมีเนื้อหาที่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่น ๆ เช่น
พระราชบัญญัติ พระราชกำหนดไม่ได้ รวมทั้งจะบัญญัติเนื้อหาที่เกินขอบเขตของกฎหมายแม่บทที่ให้อำนาจไว้ไม่ได้ด้วย
5. กฎกระทรวง/ประกาศกระทรวง กฎกระทรวง
เป็นกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายบริหารและไม่ต้องผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากรัฐสภา
ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับพระราชกฤษฎีกา แต่มีศักดิ์ของกฎหมายที่ต่ำกว่า
การดำเนินการออกกฎกระทรวงนั้น
รัฐมนตรีซึ่งเป็นฝ่ายบริหารจะบัญญัติกฎกระทรวงออกมาโดยมีพระราชบัญญัติหรือพระราชกำหนดฉบับใดฉบับหนึ่งให้อำนาจไว้
ประกาศกระทรวง เป็นกฎหมายที่ออกโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเช่นเดียวกันกับกฎกระทรวง
แต่มีความแตกต่างกันที่ประกาศกระทรวงไม่ต้องได้รับความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีเหมือนกับกฎกระทรวง
แต่ต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษา จึงจะมีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายได้
6. ข้อบัญญัติท้องถิ่น เป็นข้อบัญญัติที่กฎหมายให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจบัญญัติขึ้นใช้บังคับ
คือ มีอำนาจในการออกข้อบัญญัติได้ด้วยตนเอง
ซึ่งอำนาจในการที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้ในการตรากฎหมายเพื่อใช้บังคับในท้องถิ่นในรูปแบบของข้อบัญญัติท้องถิ่นนั้น
จะเป็นอำนาจที่ได้รับมาจากพระราชบัญญัติจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ๆ
โดยทั่วไปองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจในการตราข้อบัญญัติต่าง ๆ ได้ ดังนี้ คือ
ข้อบัญญัติองค์การบริหารส่วนตำบล เทศบัญญัติ ข้อบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด
ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร และ ข้อบัญญัติเมืองพัทยา
................................................................................................................................
................................................................................................................................
10. เหตุการณ์
เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 มีเหตุการณ์ชุมนุมของประชาชน
ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า และประชาชนได้ประกาศว่าจะมีการประชุมอย่างสงบ แต่ปรากฏว่า รัฐบาลประกาศเป็นเขตพื้นที่ห้ามชุมนุม
และขัดขวงไม่ให้ประชาชนชุมนุมอย่างสงบ ลงมือทำร้ายร่างกายประชาชน
ในฐานะท่านเรียนวิชานี้ ท่านจะอธิบายบอกเหตุผลว่า รัฐบาลกระทำผิดหรือถูก
ตอบ เป็นการกระทำที่ผิด เพราะ
ประชาชนมีสิทธิที่จะเรียกร้องสิทธิของตนเองกันทั้งนั้น
แต่ถ้ารัฐบาลกระทำรุนแรงกับประชาชนแล้วสิทธิของประชาชนจะตั้งไว้เพื่อทำอะไร
เพราะในรัฐธรรมนูญ ระบุอยู่แล้วว่า หน้าที่ของประชาชน
1. บุคคลมีหน้าที่รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และการครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
2. บุคคลมีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย
3. บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิของตนเอง
4. บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศ........................................................................................................................................................................................................................ 11. ท่านมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ คำว่า กฎหมายการศึกษาอย่างไร จงอธิบาย
1. บุคคลมีหน้าที่รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และการครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
2. บุคคลมีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย
3. บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิของตนเอง
4. บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศ........................................................................................................................................................................................................................ 11. ท่านมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ คำว่า กฎหมายการศึกษาอย่างไร จงอธิบาย
ตอบ การจัดการศึกษาให้ยึดหลักดังนี้ เป็นการศึกษาตลอดชีวิตสำหรับประชาชน ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา การพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
การจัดการศึกษามีสามรูปแบบ คือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย
สถานศึกษาจัดได้ทั้งสามรูปแบบ
และให้มีการเทียบโอนผลการเรียนที่ผู้เรียนสะสมไว้ระหว่างรูปแบบเดียวกันหรือต่างรูปแบบได้
ไม่ว่าจะเป็นผลการเรียนจากสถานศึกษาเดียวกันหรือไม่ก็ตาม
การศึกษาในระบบมีสองระดับ คือ การศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่งจัดไม่น้อยกว่า 12 ปี ก่อนระดับอุดมศึกษา และระดับอุดมศึกษา ซึ่งแบ่งเป็นระดับต่ำกว่าปริญญา และระดับปริญญาให้มีการศึกษาภาคบังคับเก้าปี นับจากอายุย่างเข้าปีที่เจ็ด จนอายุย่างเข้าปีที่สิบหก หรือเมื่อสอบได้ชั้นปีที่เก้าของการศึกษาภาคบังคับ
- สำหรับเรื่องสถานศึกษานั้น การศึกษาปฐมวัย และการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้จัดใน
1) สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย
2) โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนของรัฐ เอกชน และโรงเรียนที่สังกัดสถาบันศาสนา
3) ศูนย์การเรียน ได้แก่ สถานที่เรียนที่หน่วยงานจัดการศึกษานอกโรงเรียน บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กร ชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ โรงพยาบาล สถาบันทางการแพทย์ สถานสงเคราะห์ และสถาบันสังคมอื่นเป็นผู้จัด
การศึกษาในระบบมีสองระดับ คือ การศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่งจัดไม่น้อยกว่า 12 ปี ก่อนระดับอุดมศึกษา และระดับอุดมศึกษา ซึ่งแบ่งเป็นระดับต่ำกว่าปริญญา และระดับปริญญาให้มีการศึกษาภาคบังคับเก้าปี นับจากอายุย่างเข้าปีที่เจ็ด จนอายุย่างเข้าปีที่สิบหก หรือเมื่อสอบได้ชั้นปีที่เก้าของการศึกษาภาคบังคับ
- สำหรับเรื่องสถานศึกษานั้น การศึกษาปฐมวัย และการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้จัดใน
1) สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย
2) โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนของรัฐ เอกชน และโรงเรียนที่สังกัดสถาบันศาสนา
3) ศูนย์การเรียน ได้แก่ สถานที่เรียนที่หน่วยงานจัดการศึกษานอกโรงเรียน บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กร ชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ โรงพยาบาล สถาบันทางการแพทย์ สถานสงเคราะห์ และสถาบันสังคมอื่นเป็นผู้จัด
- การจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษา
ให้จัดในมหาวิทยาลัย สถาบัน วิทยาลัย หรือ
หน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นทั้งนี้ให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
- การจัดการอาชีวศึกษา
การฝึกอบรมวิชาชีพ ให้จัดในสถานศึกษาของรัฐ สถาน ศึกษาของเอกชน สถานประกอบการ
หรือโดยความร่วมมือระหว่างสถานศึกษากับสถานประกอบการ กระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ
และหน่วยงานอื่นของรัฐ อาจจัดการศึกษา
เฉพาะทางตามความต้องการและความชำนาญของหน่วยงานนั้นได้โดยคำนึงถึงนโยบายและมาตรฐานการศึกษาของชาติ
.........................................................................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................................................................
12. ในฐานะที่นักศึกษาเรียนวิชานี้
ถ้าเราไม่ศึกษากฎหมายการศึกษา ท่านคิดว่าเมื่อท่านไปประกอบอาชีพครูจะมีผลกระทบต่อท่านอย่างไร
ตอบ
กฎหมายทางการศึกษาเป็นหัวใจสำคัญในการศึกษาและการจัดการศึกษาทุกรูปแบบจะเน้นให้ผู้เรียนมีความรู้
ความสามารถ แบะพัฒนาตนเองได้ โดยยึดหลักผู้เรียนสำคัญที่สุด ด้วยเหตุนี้
กระบวนการจัดการเรียนรู้จึงต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตนเองได้ตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ
ถ้าเราไม่รู้กฎหมายทางการศึกษาจะทำให้การจัดการศึกษาไม่เป็นไประบบระเบียบแบบแผนการศึกษา และเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม
สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดารงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
...................................................................................................................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น